เมนู

อรรถกถาสูตรที่ 9



ประวัติพระมหากัปปินเถระ



ในสูตรที่ 9 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบท ภิกขุโอวาทกานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระมหากัปปินเถระ
เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้โอวาทภิกษุ. ได้ยินว่าพระเถระนี้ กล่าว
ธรรมกถา ในการประชุมคราวเดียวเท่านั้น ก็ทำภิกษุ 1,000 รูปให้
บรรลุพระอรหัต เพราะเหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่าเป็นยอดของเหล่าภิกษุ
สาวกผู้โอวาทภิกษุ. ในปัญหากรรมของท่านมีเรื่องที่จะกล่าวตาม
ลำดับ ดังนี้
แท้จริง พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนานว่า ปทุมุตตระ
บังเกิดในครอบครัว ในกรุงหงสวดี ต่อมา กำลังฟังธรรมกถาของ
พระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้โอวาทภิกษุ ทำกุลให้ยิ่ง
ยวดขึ้นไป จึงปรารถนาตำแหน่งนั้น. ท่านทำกุศลจนตลอดชีวิต เวียน
ว่ายอยู่ในเทวดาแลมนุษย์ ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า
กัสสป ถือปฏิสนธิในครอบครัวในกรุงพาราณสี เป็นหัวหน้าคณะของ
บุรุษ 1,000 คน สร้างบริเวณใหญ่ประดับด้วยห้อง 1,000 ห้อง. คนแม้
ทั้งหมดนั้น กระทำกุศลจนตลอดชีวิต ยกกัปปินอุบาสกให้เป็น
หัวหน้า พร้อมด้วยบุตรภริยาบังเกิดในเทวโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดา
และมนุษย์ตลอดพุทธันดรหนึ่ง. ครั้งนั้น ก่อนพระศาสดาของเราบังเกิด
กัปปินะนี้ถือปฏิสนธิในราชนิเวศน์ ในนครกุกกุฎวดี ในปัจจันตประเทศ.
บริษัทนอกนั้นบังเกิดในสกุลอำมาตย์ ในนครนั้นนั่นแหละ. บรรดาคน

เหล่านั้น กัปปินกุมาร ครั้นพระราชบิดาล่วงลับไป ก็เถลิงเศวตฉัตรเป็น
พระราชาพระนามว่า กัปปินะ. สตรีผู้เป็นแม่เรือนของพระองค์ ครั้ง
สร้างกัลยาณกรรมในชาติก่อน ก็บังเกิดในราชสกุลที่มีชาติและโภค-
สมบัติทัดเทียมกัน เป็นพระอัครมเหษีของพระเจ้ามหากัปปินะ. แต่
เพราะพระนางมีพระฉวีวรรณเสมือนดอกอังกาบ จึงมีพระนามว่า
อโนชาเทวี. แม้พระเจ้ามหากัปปินะก็ทรงสนพระหฤทัยในสุตะ
(การศึกษา) ตื่นบรรทมแต่เช้าตรู่ทรงส่งทูตเร็วออกทางพระทวาร
ทั้ง 4 ด้วยพระดำรัสสั่งว่า พวกท่านพบเหล่าท่านพหูสูต ทรงสุตะ
ในที่ใด กลับจากที่นั้นแล้ว จงมาบอกเรา ดังนี้.
สมัยนั้น พระศาสดาของเราบังเกิดในโลกแล้ว ทรงอาศัยกรุง
สาวัตถีประทับอยู่. เวลานั้นพวกพ่อค้าชาวกรุงสาวัตถี รับสินค้าที่
เกิดขึ้นในกรุงสาวัตถีไปยังนครนั้น เก็บงำสินค้าไว้แล้ว ก็ถือบรรณา-
การหมายจะเฝ้าพระราชา ไปถึงประตูพระราชนิเวศน์ทราบว่า พระ-
ราชาเสด็จไปพระราชอุทยาน จึงไปที่พระราชอุทยาน ยืนใกล้ ๆ
ประตูบอกคนเฝ้าประตูพระราชอุทยาน. ครั้งเขาทูลให้ทรงทราบแล้ว พระ-
ราชารับสั่งให้เข้าเฝ้า พวกเขามอบถวายบรรณาการแล้วยืนถวาย
บังคม ตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกท่านพากันมาจากที่ไหน. กราบทูลว่า
จากกรุงสาวัตถี พระเจ้าข้า ตรัสถามว่า แว่นแคว้นเหล่านั้นมีอาหาร
หาง่ายหรือ พระราชาทรงธรรมอยู่หรือ กราบทูลว่า เป็นอย่างนั้น
พระเจ้าข้า ตรัสถามว่า ก็ในบ้านเมืองของท่านมีข่าวคราวอะไรบ้าง
เล่า. กราบทูลว่า มีอยู่พระเจ้าข้า แต่ไม่อาจกราบทูลได้ด้วยทั้งปาก
ที่ยังไม่สะอาด. พระราชาจึงให้พระราชทานน้ำด้วยพระเต้าทอง. พ่อค้า
เหล่านั้น บ้วนปากแล้วหันหน้าไปทางพระทศพล ประคองอัญชลี

กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ในบ้านเมืองของข้าพระบาท พระพุทธรัตนะ
เกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า. พอสดับค่ำว่า พุทฺโธ เท่านั้น พระราชาก็ทรง
เกิดปีติซาบซ่านทั่วพระวรกาย. แต่นั้นตรัสว่า พ่อเอ๋ย พวกท่านพูดว่า
พุทฺโธหรือ. กราบทูลว่า พวกข้าพระบาทพูดว่า พุทฺโธ พระเจ้าข้า.
ทรงให้พวกพ่อค้ากล่าวอย่างนั้น 3 หน บทว่า พุทฺโธ หาประมาณมิได้
ใคร ๆ ไม่อาจทำให้มีประมาณได้เลย. พระราชาทรงเลื่อมใสในบทว่า พระ-
พุทธรตนะเกิดขึ้นแล้วนั้น ก็พระราชทานทรัพย์แสนหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า
มีข่าวอื่นอีกไหม กราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระธรรมรตนะเกิดขึ้นแล้ว
พระเจ้าข้า. ทรงสดับข่าวนั้นแล้ว ทรงถือปฏิญาณอย่างนั้นเหมือนกัน
พระราชทานทรัพย์อีกแสนหนึ่ง แล้วตรัสถามว่า มีข่าวอื่น ๆ อีกไหม
กราบทูลว่า ข้าแต่เทวะ พระสังฆรตนะเกิดขึ้นแล้ว พระเจ้าข้า ทรง
สดับข่าวนั้นแล้ว ทรงถือปฏิญาณอย่างนั้นเหมือนกัน พระราชทาน
ทรัพย์อีกแสนหนึ่ง ทรงเขียนบอกข้อที่พระราชทานทรัพย์ลงในหนังสือ
ส่งไปด้วยพระดำรัสสั่งว่า พ่อเอ๋ยพวกท่านจงไปสำนักพระราชเทวีเถิด.
เมื่อพวกพ่อค้าไปกันแล้ว ตรัสถามเหล่าอำมาตย์ว่า พ่อเอ๋ย พระ-
พุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกแล้ว พวกท่านจักทำอย่างไรกัน. เหล่าอำมาตย์
ทูลย้อนถามว่า ข้าแต่สมมติเทพ พระองค์จะทรงทำอย่างไร. ตรัสว่า เราก็
จักบวช เหล่าอำมาตย์กราบทูลว่า เหล่าข้าพระบาทก็จักบวชทั้งหมด.
ต่างก็ไม่เยื่อใยเหย้าเรือนหรือทรัพย์สมบัติ พากันขึ้นม้าควบขับออกไป
เหล่าพ่อค้าไปเฝ้าพระนางอโนชาเทวี แสดงหนังสือถวาย. พระ-
นางทรงอ่านหนังสือนั้นแล้วตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พระราชาพระราชทาน
กหาปณะเป็นอันมากแก่พวกท่าน พวกท่านทำอะไร. กราบทูลว่า
ข้าแต่พระเทวี พวกข้าพระบาทนำข่าวที่น่ารักมาถวาย พระเจ้าข้า.

ตรัสถามว่า พ่อเอ๋ย พวกท่านอาจให้เราฟังข่าวนั้นได้ไหม. กราบทูลว่า
ข้าแต่พระเทวี ก็อาจจะได้ แต่พวกข้าพระบาทไม่อาจกราบทูลด้วย
ทั้งปากที่ไม่สะอาด พระเจ้าข้า. พระนางจึงให้พระราชทานน้ำด้วย
พระเต้าทอง. พ่อค้าเหล่านั้น บ้วนปากแล้ว ก็กราบทูลทำนองที่กราบ
ทูลพระราชามาแล้ว. แม้พระนางก็ทรงเกิดความปราโมทย์ ให้พวก
พ่อค้ารับปฏิญา 3 หนแต่ละบท โดยนัยนั้นเหมือนกัน พระราชทาน
ทรัพย์บทละสามแสน 3 บท รวมเป็นทรัพย์เก้าแสน. เหล่าพ่อค้าได้
ทรัพย์รวมทั้งหมดถึงล้านสองแสน. ครั้งนั้น พระนางตรัสถามเหล่า
พ่อค้าว่า พระราชาเสด็จไปไหน. เหล่าพ่อค้ากราบทูลว่า ข้าแต่พระเทวี
พระราชาเสด็จออกไปหมายจะทรงผนวช พระเจ้าข้า. พระนางทรงส่ง
พวกพ่อค้าไปด้วยพระดำรัสว่า พ่อเอ๋ย ถ้ากระนั้น พวกท่านจงกลับ
ไปเสีย แล้วรับสั่งให้เรียกเหล่าแม่บ้านของเหล่าอำมาตย์ที่ไปกับพระ-
ราชามาแล้วตรัสถามว่า แม่เอ๋ย พวกเธอรู้สถานที่ ๆ พวกสามีเธอ
ไปไหม. กราบทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ไม่ทราบเพคะ พวกสามีข้า-
พระบาทไปเล่นสวนกับพระราชานี่เพคะ ตรัสว่า เออ แม่เอ๋ย เขาไป
กันแล้ว แต่ไปในสวนนั้นแล้ว ฟังข่าวว่า พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว
พระธรรมเกิดขึ้นแล้ว พระสงฆ์เกิดขึ้นแล้ว ก็ไปกันหมายจะบวช
ในสำนักพระทศพล พวกเธอจะทำอย่างไร. กราบทูลย้อนถามว่า ข้าแต่
พระแม่เจ้า ก็พระองค์ประสงค์จะทรงทำอย่างไร. ตรัสตอบว่า เราก็
จักบวช กราบทูลว่า ถ้าเป็นเช่นนั้น พวกเข้าพระบาทก็จักบวช. ทั้งหมด
ต่างให้เทียมรถพากันออกไป.
ฝ่ายพระราชาเสด็จถึงฝั่งแม่น้ำคงคา พร้อมกับอำมาตย์พันคน.
ขณะนั้น แม่น้ำคงคาเปี่ยมน้ำ เห็นแม่น้ำคงคานั้นแล้ว ต่างก็ดำริและ

อธิฐานว่า แม่น้ำคงคาเปี่ยมน้ำ. เกลื่อนด้วยปลาร้าย ไม่มีทาสหรือ
มนุษย์ที่มากับพวกเรา ซึ่งจะพึงให้เรือหรือแพแก่พวกเราในที่นั้น
แต่ธรรมดาว่า พระคุณทั้งหลายของพระศาสดาแผ่ไปเบื้องล่างแต่
อเวจีมหานรกจนถึงภวัคคพรหม ก็ถ้าพระศาสดาทรงเป็นพระสัมมา-
สัมพุทธเจ้าไซร้ ขอหลังกีบม้าเหล่านี้จงอย่าเปียกน้ำเลย แล้วก็ควบขับม้า
ไปทางหลังน้ำ. แม้เพียงกีบม้าแต่ละตัว ก็มิได้เปียกน้ำเลย. พึงฝั่งโน้ม
เหมือนไปโดยราชบรรดา แต่แล้วก็ถึงมหานทีอื่น ๆ ข้างหน้า. ตรัส
ถามว่า แม่น้ำแห่งที่สอง ชื่ออะไร. กราบทูลว่า ชื่อว่า นีลวาหินี
มีประมาณครึ่งโยชน์ทั้งส่วนลึก ทั้งสองกว้าง พระเจ้าข้า. ในแม่น้ำนั้น
ไม่มีสัจจกิริยาอย่างอื่น พากันข้ามแม่น้ำที่กว้างถึงครึ่งโยชน์
ด้วยสัจจกิริยาแม้นั้น ทั้งถึงมหานทีที่สามชื่อว่า จันทรภาคา ก็พากัน
ข้ามด้วยสัจจกิริยานั้นนั่นเอง.
ในวันนั้น แม้พระศาสดา ทรงออกจากมหากรุณาสมาบัติตรวจดู
สัตวโลก เวลาใกล้รุ่ง ก็ทรงเห็นว่า วันนี้พระเจ้ามหากัปปินะ ทรง
สละราชสมบัติมีอำนาตย์เป็นบริวาร จักเสด็จมาตลอดระยะทาง 300
โยชน์ เพื่อทรงผนวชในสำนักเรา ทรงดำริว่า ควรที่เราจะไปทำการ
ต้อนรับพวกเขา จึงทรงปฏิบัติสรีรกิจแต่เช้าตรู่ มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวาร
เสด็จบิณฑบาต ณ กรุงสาวัตถี ภายหลังเสวยแล้วเสด็จกลับจาก
บิณฑบาต ลำพังพระองค์เอง เสด็จเหาะไปประทับนั่งสมาธิ ณ ต้นไทร
ใหญ่ ซึ่งมีอยู่ตรงท่าที่คนเหล่านั้นจะข้าม ริมฝั่งแม่น้ำจันทรภาคา
ทรงดำรงพระสติเฉพาะหน้า เปล่งพระพุทธฉัพพัณณรังสี. คนเหล่านั้น
ข้ามทางท่านั้น เห็นพระพุทธรัศมี แล่นไปมา พบพระพักตรของพระ-
ทศพล มีพระสิริเหมือนเพ็ญจันทร์ ก็ตกลงใจโดยการเห็นเท่านั้นว่า

1พวกเราบวชเจาะจงพระศาสดาพระองค์ใด พระศาสดาพระองค์นั้น
เป็นพระองค์นี้แน่แท้ ก็น้อมกายถวายบังคมตั้งแต่สถานที่พบ
มาถวายบังคมพระศาสดา พระราชาจับที่ข้อพระบาทพระศาสดา
ถวายบังคมแล้วประทันนั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง พร้อมกับอำมาตย์
พันหนึ่ง พระศาสดาตรัสธรรมกถาโปรดคนเหล่านั้น จบเทศนา ทุกคน
ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัต ขอบรรพชา. พระศาสดาทรงทราบว่า เพราะ
คนเหล่านี้ถวายจีวรทานไว้ในชาติก่อน จึงมารับบาตรจีวรของตน
แล้วทรงเหยียดพระหัตถ์มีวรรณะดั่งทอง ตรัสว่า จงเป็นภิกษุหมาเถิด
ธรรมเรากล่าวดีแล้ว พวกเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์
โดยชอบเถิด. ก็เป็นอันท่านเหล่านั้นบรรพชาและอุปสมบทแล้ว พากัน
แวดล้อมพระศาสดา เหมือนพระเถระร้อยพรรษา
ฝ่ายพระนางอโนชาเทวี มีรถพันคันเป็นบริวาร เสด็จถึงฝั่งแม่น้ำ
คงคา ไม่เห็นหรือหรือแพ ที่จะพาข้ามไป แต่เพราะทรงเป็นคนฉลาด
จึงทรงดำริว่า พระราชาก็คงจักทรงทำสัจจกิริยาเสด็จไป ก็พระ-
ศาสดานั้น มิใช่ทรงบังเกิดมาเพื่อคนพวกนั้นอย่างเฉียว ถ้าพระองค์
ทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รถทั้งหลายของพวกเราก็อย่าจมน้ำ
จึงทรงขับควบรถไปทางผิวน้ำ. แม้เพียงดุมและล้อของรถทั้งหลาย
ก็มิได้เปียกน้ำ. ทั้งแม่น้ำที่สอง ที่สาม ก็ทรงข้ามไปได้ด้วยกระทำ
สัจจะนั้นนั่นแล เมื่อทรงข้ามไปได้นั่นเอง ทรงเห็นพระศาสดาที่โคนต้นไทร.
แม้พระศาสดา ก็ทรงดำริว่า สตรีเหล่านี้เห็นสามีของตน เกิดฉันทราคะ

1. ปาฐะว่า ยํสตฺถารํ อุทฺทิสฺส มยํ ปพฺพชิตา สตฺถา โน เอโสติ พม่าเป็น ยํ
สตฺถารํ อุทฺทิสฺส มยํ ปพฺพชิตา, อทฺธา โส เจโสติ แปลตามพม่า.

ก็จะพึงทำอันตรายต่อมรรคผล ทั้งไม่อาจฟังธรรมได้ จึงทรงกระทำโดยวิธี
การที่พวกเขาจะไม่เห็นกันและกันได้ สตรีเหล่านั้นทั้งหมดขึ้นจากท่าน้ำ
แล้ว ซึ่งถวายบังคมพระทศพลแล้วนั่ง พระศาสดาตรัสธรรมกถาโปรด
สตรีเหล่านั้น. จบเทศนา สตรีทุกคนก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล จึงเห็น
ซึ่งกันและกัน พระศาสดาทรงดำริว่า อุบลวรรณาจงมา
พระเถรีก็มาให้สตรีทุกคนบรรพชา แล้วพาไปสำนักภิกษุณี พระ-
ศาสดาทรงพาภิกษุพันรูปเสด็จไปพระเชตวันทางอากาศ. ครั้งนั้น
ท่านพระมหากัปปินะเถระ รู้ว่ากิจตนถึงที่สุดแล้ว ก็เป็นผู้ขวนขวาย
น้อย ทำเวลาให้ล่วงไปด้วยสุขในผลสมาบัติ อยู่ป่าก็ดี อยู่โคนไม้ก็ดี
อยู่เรือนว่างก็ดี ก็เปล่งอุทานเนือง ๆ ว่า อโห สุขํ อโห สุขํ (โอ สุขจริง
โอ สุขจริง). ภิกษุทั้งหลายเกิดพูดกันขึ้นว่า ท่านพระกัปปินเถระ.
ระลึกถึงสุขในราชสมบัติ จึงเปล่งอุทาน พากันไปกราบทูลพระตถาคต.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า บุตรเราปรารภสุขในมรรค สุขในผล
จึงเปล่งอุทาน แล้วตรัสพระคาถาในพระธรรมบท ดังนี้ว่า
ธมฺมปีติ สุขํ เสติ วิปฺปสนฺเนน เจตสา
อริยปฺปเวทิเต ธมฺเม สทา รมติ ปณฺฑิโต
บัณฑิตมีใจผ่องใสแล้วมีปีติในธรรม ย่อมอยู่เป็นสุข
ยินดีในธรรมที่พระอริยประกาศแล้วทุกเมื่อ

ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดาทรงเรียกภิกษุพันรูปอันเตวาสิก
ของท่านมาแล้ว ตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอาจารย์ของเธอ
แสดงธรรมบ้างไหม กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า อาจารย์
ของข้าพระองค์มิได้แสดงธรรมเลย ท่านเป็นผู้ขวนขวายน้อย ประกอบ

เนือง ๆ แต่สุขวิหารธรรมในปัจจุบันอยู่ ไม่ให้แม้แต่เพียงโอวาทแก่
ใคร ๆ. พระศาสดารับสั่งให้เรียกท่านมาแล้วตรัสถามว่า กัปปินะ
เขาว่าเธอไม่ให้แม้แต่เพียงโอวาทแก่อันเตวาสิกทั้งหลาย จริงหรือ.
ท่านกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า จริงพระเจ้าข้า. ตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์ เธออย่าทำอย่างนี้ ตั้งแต่วันนี้ไป เธอจงแสดงธรรม
แก่อันเตวาสิกทั้งหลาย. ท่านรับพระพุทธดำรัสด้วยเศียรเกล้าว่า ดีละ
พระเจ้าข้า แล้วแสดงธรรมสอนสมณะพันรูป ในการประชุมคราวเดียว
เท่านั้น ให้เธอบรรลุพระอรหัตหมดทุกรูป. ย่อมาพระศาสดาประทับ
กลางสงฆ์ กำลังทรงสถาปนาพระเถระทั้งหลายในตำแหน่งต่าง ๆ
ตามลำดับ จึงทรงสถาปนาท่านพระมหากัปปินเถระไว้ในตำแหน่ง
เอตทัคคะ เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้โอวาทภิกษุแล.

จบ อรรถกถาสูตรที่ 9

อรรถกถาสูตรที่ 10



ประวัติพระสาคตเถระ



ในสูตรที่ 10 พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
ด้วยบทว่า เตโชธาตุกุสสานํ ท่านแสดงว่า ท่านพระสาคตเถระ
เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ ความจริง พระเถระนี้
ใช้เดชครอบงำเดชของนาคชื่ออัมพติตถะ ได้ทำให้หายพยศ เพราะ
เหตุนั้น ท่านจึงชื่อว่า เป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ
ในปัญหากรรมของท่าน มีเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับ ดังนี้
ก็พระเถระรูปนี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
ถือปฏิสนธิในครอบครัว ในกรุงหงสวดี ต่อมา กำลังฟังพระธรรมเทศนา
ของพระศาสดา เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่งไว้ใน
ตำแหน่งเอตทัคคะเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวกผู้ฉลาดเข้าเตโชธาตุ
จึงทำกุศลกรรมอย่างใหญ่ ปรารถนาตำแหน่งนั้น. เขาทำกุศลตลอดชีวิต
เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดในครอบครัว
พราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี. บิดามารดาจึงตั้งชื่อท่านว่า สาคตมาณพ.
ต่อมา สาคตมาณพนั้น ฟังพระธรรมเทศนาของพระศาสดาได้ศรัทธา
จึงบวชทำสมาบัติ 8 ให้บังเกิดแล้ว บรรลุความเป็นผู้ชำนาญในสมาบัติ
นั้น. ต่อมาวันหนึ่ง พระศาสดาเสด็จจาริกไป ได้เสด็จถึงที่ใกล้
กรุงโกสัมพี. สมัยนั้น คนที่มาที่ไปมากด้วยกันเป็นศัตรูของนายเรือ
เก่าที่ท่าน้ำ ตีนายเรือนั้นตาย นายเรือนั้น ตั้งความปรารถนาด้วยทั้งจิต
ที่ขุ่นแค้น บังเกิดเป็นนาคราชมีอานุภาพมากที่ท่าเรือนั้นนั่นแหละ
เพราะมีจิตขุ่นแค้น เขาจึงทำให้ฝนตกในเวลาที่มิใช่หน้าฝน ไม่ให้ฝนตก